เขียนโดยยอห์น 11:1-57
เชิงอรรถ
ข้อมูลสำหรับศึกษา
ลาซารัส: อาจเป็นชื่อภาษากรีกที่มาจากภาษาฮีบรูเอเลอาซาร์ มีความหมายว่า “พระเจ้าช่วย”
เบธานี: หมู่บ้านบนไหล่เขาด้านตะวันออกเฉียงใต้ของภูเขามะกอกห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 3 กม. (ยน 11:18) บ้านของมาร์ธา มารีย์ และลาซารัสอยู่ในหมู่บ้านนี้ ดูเหมือนว่าพระเยซูมักจะพักอยู่กับพวกเขาช่วงที่ท่านทำงานรับใช้ในแคว้นยูเดีย (ยน 11:1) ปัจจุบัน ที่นั่นมีหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีชื่อภาษาอาหรับซึ่งมีความหมายว่า “ที่อยู่ของลาซารัส”
ลาซารัส: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ลก 16:20
เบธานี: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มธ 21:17
สิ้นใจตาย: แปลตรงตัวว่า “หลับไป” ในพระคัมภีร์มีการใช้คำว่า “หลับ” เพื่อหมายถึงทั้งการนอนหลับจริง ๆ (มธ 28:13; ลก 22:45; ยน 11:12; กจ 12:6) และหมายถึงการหลับไปในความตาย (ยน 11:11; กจ 7:60; 13:36; 1คร 7:39; 15:6, 51; 2ปต 3:4) ในท้องเรื่องที่คำกรีกนี้หมายถึงความตาย ผู้แปลคัมภีร์ไบเบิลมักใช้คำว่า “หลับไปในความตาย” หรือ “ตาย” เพื่อช่วยให้ผู้อ่านไม่สับสน ในคัมภีร์ไบเบิลคำว่า “หลับไป” ในความหมายเป็นนัยมักจะใช้กับคนที่ตายเพราะบาปที่ตกทอดมาจากอาดัม—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มก 5:39; ยน 11:11
ไม่ได้ตาย แต่นอนหลับอยู่: คัมภีร์ไบเบิลมักพูดถึงความตายว่าเป็นเหมือนการนอนหลับ (สด 13:3; ยน 11:11-14; กจ 7:60; 1คร 7:39; 15:51; 1ธส 4:13) พระเยซูกำลังจะปลุกเด็กผู้หญิงคนนี้ให้ฟื้นขึ้นตาย ดังนั้น ท่านอาจพูดแบบนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนตายแล้วจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมาได้เหมือนการปลุกคนที่นอนหลับสนิทให้ตื่นขึ้นมา พระเยซูสามารถปลุกเด็กผู้หญิงคนนี้ให้ฟื้นจากตายเพราะท่านได้รับอำนาจจากพ่อของท่านซึ่งเป็นพระเจ้าที่ ‘ทำให้คนตายมีชีวิตอีกได้ และพูดถึงสิ่งที่ยังไม่มีเหมือนกับว่ามีอยู่แล้ว’—รม 4:17
หลับอยู่: คัมภีร์ไบเบิลมักพูดถึงความตายว่าเป็นเหมือนการนอนหลับ (สด 13:3; มก 5:39; กจ 7:60; 1คร 7:39; 15:51; 1ธส 4:13) พระเยซูกำลังจะปลุกลาซารัสให้ฟื้นขึ้นจากตาย ดังนั้น ท่านคงจะพูดแบบนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนตายจะฟื้นขึ้นมาเหมือนกับการปลุกคนที่หลับสนิทให้ตื่นขึ้นมา และพระเยซูได้อำนาจที่จะปลุกลาซารัสมาจากพ่อของท่านผู้ “ทำให้คนตายมีชีวิตอีกได้”—รม 4:17; ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ มก 5:39; กจ 7:60
โธมัส: ชื่อกรีกนี้มาจากคำภาษาอาราเมอิกที่แปลว่า “แฝด” อัครสาวกโธมัสมีชื่อกรีกอีกชื่อหนึ่งว่า ดิดุโมส (พระคัมภีร์บางฉบับใช้คำว่า “ดิดุมัส”) ซึ่งก็แปลว่าแฝดเหมือนกัน
ฝังในอุโมงค์ได้ 4 วันแล้ว: ตอนที่ลาซารัสป่วยหนัก มารีย์กับมาร์ธาส่งคนไปบอกพระเยซู (ยน 11:1-3) ตอนนั้นพระเยซูอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งห่างจากหมู่บ้านเบธานีประมาณ 2 วัน และลาซารัสคงตายในช่วงที่มีคนไปบอกท่าน (ยน 10:40) แต่พระเยซู “ก็ยังอยู่ที่เดิมต่ออีก 2 วัน” แล้วค่อยเดินทางไปหมู่บ้านเบธานี (ยน 11:6, 7) เนื่องจากพระเยซูรออยู่ 2 วันและใช้เวลาเดินทางอีก 2 วัน ท่านจึงมาถึงอุโมงค์ฝังศพของลาซารัสหลังจากเขาตายไปได้ 4 วันแล้ว ก่อนหน้านั้นพระเยซูเคยปลุกคนตายมาแล้วอย่างน้อย 2 คน คนหนึ่งถูกปลุกทันทีหลังจากตาย ส่วนอีกคนหนึ่งถูกปลุกในวันเดียวกับที่เขาตาย (ลก 7:11-17; 8:49-55; เทียบกับ มธ 11:5) แต่พระเยซูยังไม่เคยปลุกใครที่ตายมาได้ 4 วันซึ่งศพเริ่มเน่าแล้ว (ยน 11:39) พวกยิวมีความเชื่อผิด ๆ อย่างหนึ่งว่าหลังจากตาย 3 วันแล้ววิญญาณจะออกจากร่าง แต่พอเห็นพระเยซูปลุกลาซารัสขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ คนที่เชื่อแบบนี้ก็อาจมั่นใจว่าพระเยซูสามารถปลุกคนตายได้จริง—ยน 12:9, 10, 17
อุโมงค์: หรือ “อุโมงค์รำลึก”—ดูส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “อุโมงค์รำลึก”
ประมาณ 3 กิโลเมตร: แปลตรงตัวว่า “ประมาณ 15 สทาดิอ็อน” ซึ่ง 1 สทาดิอ็อน เท่ากับ 185 เมตร หรือ 1/8 ไมล์ของโรมัน—ดูส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “ไมล์” และภาคผนวก ข14
ดิฉันเชื่อค่ะว่า เขาจะถูกปลุกให้ฟื้น: มาร์ธาคิดว่าพระเยซูพูดถึงการปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือในวันสุดท้าย (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 6:39) ความเชื่อที่เธอมีต่อคำสอนนี้น่าประทับใจจริง ๆ ผู้นำศาสนาบางคนในสมัยของเธอที่เรียกว่าพวกสะดูสีไม่เชื่อเรื่องการฟื้นขึ้นจากตายแม้พระคัมภีร์พูดถึงคำสอนนี้ไว้ชัดเจน (ดนล 12:13; มก 12:18) ส่วนพวกฟาริสีก็เชื่อเรื่องวิญญาณอมตะ ถึงอย่างนั้นมาร์ธารู้ว่าพระเยซูสอนเรื่องความหวังเกี่ยวกับการฟื้นขึ้นจากตาย และท่านถึงกับปลุกคนตายให้ฟื้นด้วย แม้ท่านยังไม่เคยปลุกใครที่ตายไปนานเท่าลาซารัส
ให้ผมปลุกพวกเขาให้ฟื้นขึ้นจากตายในวันสุดท้าย: พระเยซูบอก 4 ครั้งว่าท่านจะปลุกคนให้ฟื้นขึ้นจากตายในวันสุดท้าย (ยน 6:40, 44, 54) ที่ ยน 11:24 มาร์ธาก็พูดถึงการ “ปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายในวันสุดท้าย” (เทียบกับ ดนล 12:13; ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 11:24) และที่ ยน 12:48 คำว่า “วันสุดท้าย” เกี่ยวข้องกับเวลาที่พระเยซูพิพากษาตัดสินซึ่งก็คือช่วงพันปีที่ท่านปกครอง ในตอนนั้นท่านจะพิพากษามนุษย์ทุกคนรวมทั้งคนที่ฟื้นขึ้นจากตายด้วย—วว 20:4-6
มีอำนาจให้ชีวิต: หรือ “มีชีวิตในตัวเอง” พระเยซู “มีอำนาจให้ชีวิต” เพราะพระเจ้าผู้เป็นพ่อให้อำนาจนี้กับท่าน ซึ่งอำนาจนี้ที่จริงเป็นของพระองค์เท่านั้น อำนาจนี้รวมถึงอำนาจที่จะช่วยให้มนุษย์มีโอกาสได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าและได้ชีวิต อำนาจนี้ยังรวมถึงอำนาจที่จะปลุกคนตายให้ฟื้น ประมาณ 1 ปีต่อมาพระเยซูก็บอกว่าสาวกของท่านสามารถมีชีวิตในตัวเองได้—สำหรับความหมายของคำว่า “มีชีวิตในตัวเอง” ที่ใช้กับสาวกของพระเยซู ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 6:53
ผมคือคนที่ปลุกคนตายให้ฟื้นและให้เขามีชีวิต: ความตายของพระเยซูและการที่ท่านถูกปลุกให้ฟื้นเปิดทางให้คนตายกลับมามีชีวิตอีก หลังจากที่พระยะโฮวาปลุกพระเยซูให้ฟื้น พระองค์ก็ให้ท่านมีอำนาจในการปลุกคนตายและให้ชีวิตตลอดไปได้ (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 5:26) ใน วว 1:18 พระเยซูเรียกตัวเองว่า “ผู้มีชีวิตอยู่” ซึ่งมี “ลูกกุญแจที่ปลดปล่อยคนจากความตายและหลุมศพ” ดังนั้น พระเยซูจึงเป็นความหวังสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่และคนตาย ท่านสัญญาว่าจะเปิดหลุมฝังศพและให้ชีวิตกับคนที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในสวรรค์เพื่อจะปกครองร่วมกับท่าน หรือชีวิตในโลกใหม่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลสวรรค์—ยน 5:28, 29
จะไม่ตายเลย: ตอนที่พระเยซูบอกว่าจะไม่ตายหรือจะมีชีวิตตลอดไป ท่านไม่ได้หมายความว่าคนที่ฟังท่านในตอนนั้นจะไม่ต้องตายเลย แต่พระเยซูกำลังบอกว่าการเชื่อในตัวท่านจะทำให้ได้ชีวิตตลอดไป เราสรุปได้แบบนี้โดยดูจากสิ่งที่พระเยซูพูดก่อนหน้านี้ในยอห์นบท 6 ที่ท่านบอกว่าคนที่แสดงความเชื่อจะมีชีวิตตลอดไป—ยน 6:39-44, 54
อุโมงค์ฝังศพ: หรือ “อุโมงค์รำลึก”—ดูส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “อุโมงค์รำลึก”
ร้องไห้น้ำตาไหล: คำที่ใช้ในข้อนี้ (ดาครูโอ) เป็นคำกริยาที่มาจากคำนามกรีกซึ่งแปลว่า “น้ำตา” คำนามนี้มีอยู่ใน ลก 7:38; กจ 20:19, 31; ฮบ 5:7; วว 7:17; 21:4 ดูเหมือนคำนี้เน้นที่น้ำตามากกว่าการร้องไห้แบบมีเสียง ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก คำกริยานี้ใช้เฉพาะในข้อนี้เท่านั้นและต่างจากที่ใช้ใน ยน 11:33 (ดูข้อมูลสำหรับศึกษา) ใน ยน 11:33 ใช้อีกคำหนึ่งเมื่อบอกว่ามารีย์กับพวกยิวร้องไห้ ถึงแม้พระเยซูรู้ว่าท่านกำลังจะปลุกลาซารัสให้ฟื้นขึ้นจากตายแล้ว แต่พอเห็นเพื่อน ๆ ที่ท่านรักโศกเศร้ามาก ท่านก็เศร้าไปด้วย พระเยซูรักและสงสารเพื่อนของท่านจนน้ำตาไหลออกมา เรื่องนี้ทำให้เห็นชัดว่าพระเยซูเห็นอกเห็นใจคนที่สูญเสียคนที่เขารักเพราะความตายที่ตกทอดมาจากอาดัม
ร้องไห้: คำกรีกที่แปลว่า “ร้องไห้” มักหมายถึงการร้องไห้เสียงดังจนคนได้ยิน และมีการใช้คำกริยาเดียวกันนี้ตอนที่พระเยซูบอกล่วงหน้าเกี่ยวกับการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม—ลก 19:41
เศร้าและสะเทือนใจ: สองคำนี้ในภาษาเดิมใช้เพื่ออธิบายความรู้สึกที่ท่วมท้นของพระเยซูต่อเหตุการณ์นี้ คำกริยากรีกที่แปลว่า “เศร้า” (เอ็มบะริมอาออไม) ปกติหมายถึงความรู้สึกที่แรงกล้า แต่ในท้องเรื่องนี้เน้นไปที่ความรู้สึกของพระเยซูที่เศร้ามาก และคำกรีกที่แปลว่า “สะเทือนใจ” (ทาราโซส์) มีความหมายตรงตัวว่ากระวนกระวายใจ ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งบอกว่าคำนี้เมื่อใช้ในท้องเรื่องนี้มีความหมายว่า “วุ่นวายใจมาก, เจ็บปวดหรือเศร้าใจมาก” คำกริยาเดียวกันนี้มีอยู่ใน ยน 13:21 ด้วยซึ่งอธิบายความรู้สึกของพระเยซูเมื่อคิดว่าท่านจะถูกยูดาสทรยศ—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 11:35
ร้องไห้น้ำตาไหล: คำที่ใช้ในข้อนี้ (ดาครูโอ) เป็นคำกริยาที่มาจากคำนามกรีกซึ่งแปลว่า “น้ำตา” คำนามนี้มีอยู่ใน ลก 7:38; กจ 20:19, 31; ฮบ 5:7; วว 7:17; 21:4 ดูเหมือนคำนี้เน้นที่น้ำตามากกว่าการร้องไห้แบบมีเสียง ในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก คำกริยานี้ใช้เฉพาะในข้อนี้เท่านั้นและต่างจากที่ใช้ใน ยน 11:33 (ดูข้อมูลสำหรับศึกษา) ใน ยน 11:33 ใช้อีกคำหนึ่งเมื่อบอกว่ามารีย์กับพวกยิวร้องไห้ ถึงแม้พระเยซูรู้ว่าท่านกำลังจะปลุกลาซารัสให้ฟื้นขึ้นจากตายแล้ว แต่พอเห็นเพื่อน ๆ ที่ท่านรักโศกเศร้ามาก ท่านก็เศร้าไปด้วย พระเยซูรักและสงสารเพื่อนของท่านจนน้ำตาไหลออกมา เรื่องนี้ทำให้เห็นชัดว่าพระเยซูเห็นอกเห็นใจคนที่สูญเสียคนที่เขารักเพราะความตายที่ตกทอดมาจากอาดัม
ร้องไห้: คำกรีกที่แปลว่า “ร้องไห้” มักหมายถึงการร้องไห้เสียงดังจนคนได้ยิน และมีการใช้คำกริยาเดียวกันนี้ตอนที่พระเยซูบอกล่วงหน้าเกี่ยวกับการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม—ลก 19:41
อุโมงค์ฝังศพ: หรือ “อุโมงค์รำลึก”—ดูส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “อุโมงค์รำลึก”
ป่านนี้ศพคงเหม็นแย่แล้ว: คำพูดของมาร์ธาแสดงให้เห็นว่าชาวยิวไม่มีธรรมเนียมการอาบยารักษาศพเพื่อจะเก็บศพไว้ได้นาน ๆ ถ้ามีการอาบศพลาซารัสแบบนั้น มาร์ธาคงไม่บอกว่าป่านนี้ศพเหม็นแล้ว และถึงแม้มือกับเท้ารวมทั้ง ‘หน้าของลาซารัสมีผ้าพันไว้’ แต่ดูเหมือนไม่ได้ทำเพื่อรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อย—ยน 11:44
ตั้ง 4 วันแล้ว: แปลตรงตัวว่า “เป็นที่ 4” คำกรีกที่ใช้ในข้อนี้บอกแค่ตัวเลข ส่วนคำว่า “วัน” เพิ่มเข้ามาตามท้องเรื่อง ดูเหมือนว่าตอนนั้นผ่านไป 3 วันเต็มแล้ว และอยู่ในช่วงใดช่วงหนึ่งของวันที่ 4
ลาซารัส: ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ลก 16:20
ลาซารัส: อาจเป็นชื่อภาษากรีกที่มาจากภาษาฮีบรูเอเลอาซาร์ มีความหมายว่า “พระเจ้าช่วย”
หน้าก็มีผ้าพันไว้: ชาวยิวมีธรรมเนียมเตรียมศพก่อนจะนำไปฝังโดยชโลมศพด้วยเครื่องหอมและพันด้วยผ้าลินินที่สะอาด แต่นี่ไม่ได้เป็นการอาบยารักษาศพเหมือนที่ชาวอียิปต์ทำกัน (ปฐก 50:3; มธ 27:59; มก 16:1; ยน 19:39, 40) ตอนที่ลาซารัสถูกปลุกและเดินออกมาจากอุโมงค์ เขายังมีผ้าพันอยู่ที่หัวและใบหน้า คำกรีก ซู่ดาริออน ที่แปลว่า “ผ้า” ในข้อนี้หมายถึงผ้าชิ้นเล็ก ๆ เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดปาก หรือผ้าเช็ดหน้า มีการใช้คำกรีกเดียวกันนี้ที่ ยน 20:7 เมื่อพูดถึง “ผ้าที่ใช้คลุมส่วนหัว [ของพระเยซู]”
วิหาร: แปลตรงตัวว่า “ที่ของเรา” คือที่นมัสการหรือสถานบริสุทธิ์ของเรา ซึ่งน่าจะหมายถึงวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม—เทียบกับ กจ 6:13, 14
มหาปุโรหิต: ตอนที่ชาติอิสราเอลเป็นเอกราช มหาปุโรหิตจะอยู่ในตำแหน่งตลอดชีวิต (กดว 35:25) แต่ตอนที่ชาติอิสราเอลอยู่ภายใต้การปกครองของโรม ผู้ปกครองที่ได้รับอำนาจจากโรมมีสิทธิ์แต่งตั้งหรือปลดมหาปุโรหิตได้ (ดูส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “มหาปุโรหิต”) เคยาฟาสมีความสามารถด้านการทูต เขาอยู่ในตำแหน่งมหาปุโรหิตนานกว่าคนอื่น ๆ ก่อนหน้าเขา เคยาฟาสได้รับการแต่งตั้งจากโรมประมาณปี ค.ศ. 18 และดำรงตำแหน่งจนถึงประมาณปี ค.ศ. 36 การที่ยอห์นพูดถึงเคยาฟาสว่าเป็นมหาปุโรหิตในปีนั้นซึ่งก็คือปี ค.ศ. 33 เขาคงอยากจะเน้นว่าเคยาฟาสเป็นมหาปุโรหิตในปีที่พระเยซูถูกประหาร—ดูภาคผนวก ข12 เพื่อจะเห็นตำแหน่งที่น่าจะเป็นบ้านของเคยาฟาส
เอฟราอิม: เชื่อกันว่าเมืองนี้เป็นเมืองเดียวกับเอฟราอินที่อาบียาห์กษัตริย์ยูดาห์ยึดมาจากเยโรโบอัมกษัตริย์อิสราเอล (2พศ 13:19) ดูเหมือนว่าที่ตั้งของเมืองนี้ในปัจจุบันคือหมู่บ้านเอดไทยีบาห์ (หรือเอดไทยีเบห์) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเบธเอลไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 6 กม. และห่างจากบริเวณที่น่าจะเป็นที่ตั้งของบาอัลฮาโซร์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 3 กม. (2ซม 13:23) เมืองเอฟราอิมอยู่ใกล้ที่กันดาร และเมื่อมองลงไปจากเมืองนี้ก็จะเห็นที่ราบกันดารเยรีโคกับทะเลเดดซีอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ โยเซฟุสนักประวัติศาสตร์ชาวยิวบอกว่านายพลเวสปาเชียนของโรมยึดเมืองนี้ได้ตอนที่เขานำทัพมาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม—The Jewish War, IV, 551 (ix, 9)
เทศกาลปัสกา: ดูเหมือนเป็นเทศกาลปัสกาปี ค.ศ. 32 ซึ่งเป็นปัสกาครั้งที่ 3 ของพระเยซูตอนที่ท่านรับใช้อยู่บนโลก—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 2:13; 5:1; 11:55 และภาคผนวก ก7
เทศกาลของชาวยิว: ถึงแม้ยอห์นไม่ได้บอกว่าเทศกาลนี้คือเทศกาลอะไร แต่มีเหตุผลที่ดีหลายอย่างที่จะเชื่อว่าเทศกาลนี้น่าจะเป็นเทศกาลปัสกาปี ค.ศ. 31 ปกติแล้วยอห์นจะบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ เรียงตามลำดับเวลา ในท้องเรื่องแสดงให้เห็นว่ามีการฉลองเทศกาลนี้ไม่นานหลังจากที่พระเยซูบอกว่า “อีก 4 เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าว” (ยน 4:35) ฤดูเกี่ยวข้าวโดยเฉพาะข้าวบาร์เลย์เป็นช่วงเดียวกับเทศกาลปัสกา (วันที่ 14 เดือนนิสาน) ดังนั้น ดูเหมือนพระเยซูพูดประโยคนี้ประมาณ 4 เดือนก่อนหน้านั้น ก็คือช่วงเดือนคิสเลฟ (พฤศจิกายน/ธันวาคม) จริง ๆ แล้วในช่วงเดือนคิสเลฟถึงเดือนนิสานยังมีเทศกาลอีก 2 อย่างที่ฉลองกัน คือเทศกาลฉลองการอุทิศวิหารและเทศกาลปูริม แต่กฎหมายของพระเจ้าไม่ได้กำหนดให้ชาวอิสราเอลต้องไปที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อฉลองเทศกาล 2 อย่างนี้ ดังนั้น คำว่า “เทศกาลของชาวยิว” ในข้อนี้จึงน่าจะหมายถึงเทศกาลปัสกาซึ่งเป็นเทศกาลที่พระเยซูต้องไปเข้าร่วมที่กรุงเยรูซาเล็ม (ฉธบ 16:16) จริงที่ยอห์นบันทึกอีกแค่ไม่กี่เหตุการณ์ก่อนที่จะพูดถึงเทศกาลปัสกา (ยน 6:4) แต่เมื่อดูภาคผนวก ก7 ก็จะเห็นว่ายอห์นพูดถึงการรับใช้ช่วงแรก ๆ ของพระเยซูไม่มาก และเขาไม่ได้พูดถึงหลายเหตุการณ์ที่ผู้เขียนหนังสือข่าวดีอีก 3 คนได้พูดถึงแล้ว ที่จริง เรื่องราวของพระเยซูในหนังสือข่าวดีอีก 3 เล่มก็สนับสนุนข้อสรุปที่ว่า เทศกาลปัสกาประจำปีที่ยอห์นพูดถึงในข้อนี้เกิดขึ้นในช่วงเหตุการณ์ที่บันทึกใน ยน 2:13 และ ยน 6:4—ดูภาคผนวก ก7 และข้อมูลสำหรับศึกษาที่ยน 2:13
เทศกาลปัสกา: พระเยซูเริ่มทำงานประกาศหลังจากท่านรับบัพติศมาในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 29 ดังนั้น ในข้อนี้จึงต้องพูดถึงเทศกาลปัสกาที่พระเยซูฉลองหลังจากนั้นไม่นานซึ่งเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 30 (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ลก 3:1 และภาคผนวก ก7) การเปรียบเทียบบันทึกในหนังสือข่าวดีทั้ง 4 เล่มทำให้รู้ว่าช่วงที่พระเยซูทำงานรับใช้บนโลก ท่านได้ฉลองปัสกา 4 ครั้ง และทำให้ได้ข้อสรุปว่างานรับใช้ของท่านกินเวลา 3 ปีครึ่ง หนังสือข่าวดี 3 เล่มคือ มัทธิว มาระโก และลูกา พูดถึงเทศกาลปัสกาแค่ครั้งเดียวคือครั้งสุดท้ายที่พระเยซูฉลองก่อนจะเสียชีวิต แต่ยอห์นพูดถึงเทศกาลปัสกา 4 ครั้ง โดย 3 ครั้งเขาใช้คำว่าปัสกา (ยน 2:13; 6:4; 11:55) และอีกครั้งหนึ่งซึ่งอยู่ใน ยน 5:1 เขาใช้คำว่า “เทศกาลของชาวยิว” ตัวอย่างนี้ทำให้เห็นว่าการเปรียบเทียบบันทึกในหนังสือข่าวดีทั้ง 4 เล่มช่วยให้เราเห็นภาพชีวิตของพระเยซูได้ครบถ้วนมากขึ้น—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 5:1; 6:4; 11:55
เทศกาลปัสกา: คือเทศกาลปัสกาปี ค.ศ. 33 ดูเหมือนเป็นปัสกาครั้งที่ 4 ซึ่งมีการพูดถึงในหนังสือข่าวดีของยอห์น—ดูข้อมูลสำหรับศึกษาที่ ยน 2:13; 5:1; 6:4
วีดีโอและรูปภาพ
พระเยซูสั่งผู้ชายคนหนึ่งที่ตายไปแล้วว่า “ลาซารัส ออกมา” (ยน 11:43) ทันใดนั้น ลาซารัสก็รู้สึกตัว ลุกขึ้นยืนและเริ่มเดินทั้ง ๆ ที่มีผ้าพันตัวเขาไว้ มาร์ธากับมารีย์พี่น้องของเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่มันคือความจริง! การอัศจรรย์นี้ทำให้หลายคนที่เห็นเริ่มเชื่อในพระเยซู บันทึกเรื่องนี้ทำให้เราเห็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวของพระเยซู และเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าท่านจะทำการอัศจรรย์ในขอบเขตที่ใหญ่กว่ามากในโลกใหม่ (ยน 5:28) บันทึกเรื่องการฟื้นขึ้นจากตายของลาซารัสมีอยู่ในหนังสือข่าวดีของยอห์นเท่านั้น
ศาลสูงของชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็มที่เรียกว่าศาลแซนเฮดรินใหญ่ประกอบด้วยสมาชิก 71 คน (ดูส่วนอธิบายศัพท์คำว่า “แซนเฮดริน”) หนังสือมิชนาห์บอกว่ามีการจัดที่นั่งในศาลเป็นรูปครึ่งวงกลมซ้อนกัน 3 แถว และมีผู้คัดลอก 2 คนคอยบันทึกคำพิพากษาของศาล รายละเอียดทางสถาปัตยกรรมบางอย่างในภาพนี้วาดขึ้นโดยมีต้นแบบจากซากอาคารหลังหนึ่งที่พบในกรุงเยรูซาเล็มซึ่งบางคนเชื่อว่าเคยเป็นห้องพิจารณาคดีของศาลแซนเฮดรินในศตวรรษแรก—ดูภาคผนวก ข12, แผนที่ “กรุงเยรูซาเล็มและบริเวณโดยรอบ”
1. มหาปุโรหิต
2. สมาชิกศาลแซนเฮดริน
3. จำเลย
4. เสมียนศาล